น้ำอุ่น หรือ น้ำเย็น เจ็บคอดื่มน้ำแบบไหนดี

“เจ็บคอเมื่อไรทรมานทุกที”
นี่อาจจะเป็นความรู้สึกของคนที่มีอาการเจ็บคอบ่อย ๆ หรือทุกครั้งที่เป็นหวัด และเชื่อว่าหลายคนคงอยากจะหายเจ็บคอเร็ว ๆ

แต่นอกจากเราจะเถียงกันเรื่อง “เจ็บคอ ต้องกินยาฆ่าเชื้อ หรือยาแก้อักเสบหรือไม่ ?” แล้ว น่าจะมีอีกเรื่องที่เราต้องถกเถียงกัน นั่นคือ เจ็บคอ ดื่มน้ำอุ่น หรือน้ำเย็นดี ?

>> ไม่พูดเยอะ “เจ็บคอ” สาเหตุ และวิธีรักษาอาการเจ็บคออย่างถูกวิธี

>> “เจ็บคอ” แบบไหนอันตราย ควรไปหาหมอ

เจ็บคอ ดื่ม “น้ำอุ่น” หรือ “น้ำเย็น” ดีกว่ากัน ?
ในทางการแพทย์แล้ว ยังไม่ได้มีหลักฐานงานวิจัยชิ้นใดระบุอย่างชัดเจนว่า เมื่อมีอาการเจ็บคอ น้ำอุ่น หรือน้ำเย็นที่จะดีต่อคอ และช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้มากกว่ากัน เพราะสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเจ็บคอมีด้วยกันหลายอย่าง

เจ็บคอ เพราะเป็นหวัด – หากเป็นหวัดธรรมดา ๆ โดยอาจมีอาการปวดศีรษะ น้ำมูกไหล จาม ไอ และมีไข้ร่วมด้วย ควรเลือกจิบน้ำอุ่นจะดีกว่า เพราะน้ำอุ่นช่วยละลายเสมหะได้ ลดการระคายเคืองของคอ บรรเทาอาการไอได้เล็กน้อย และโดยทั่วไปแล้วแพทย์จะไม่สั่งยาแก้อักเสบ หรือย่าฆ่าเชื้อให้ เพราะหากเจ็บคอจากอาการเป็นหวัด อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นเมื่อเริ่มหายหวัดนั่นเอง อย่าลืมดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อลดเสมหะด้วย

เจ็บคอ เพราะทอนซิลอักเสบ – ทอนซิลอักเสบ เป็นอาการที่ต่อมทอนซิลในคอมีอาการอักเสบ บวม แดง เป็นรอยแดงเป็นจ้ำ ๆ และอาจพบจุดหนองเล็ก ๆ ด้วย โดยอาการอักเสบเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้ออื่น ๆ ที่มาจากอาหารการกิน หรือจากสาเหตุอื่น ๆ อาการเจ็บคอจากทอนซิลอักเสบต้องได้รับยาปฏิชีวนะที่สั่งให้โดยแพทย์ และควรดื่มน้ำเย็น เพื่อช่วยลดอาการบวม อักเสบของทอนซิล

>> เจ็บคอแบบไหน เสี่ยง “ทอนซิลอักเสบ”

นอกจากนี้ แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานไอศกรีม โดยเฉพาะไอศกรีมช็อกโกแลต เพราะช็อกโกแลตมีสารฟลาโวนอยที่ช่วยลดอาการอักเสบต่าง ๆ ได้ดี และยิ่งเป็นดาร์คช็อกโกแลตได้จะดีที่สุด เพราะดาร์คช็อกโกแลตจะมีสารฟลาโวนอยสูงกว่าช็อกโกแลตปกติ นอกจากนี้ยังสามารถรับประทานช็อกโกแลตแท่ง โกโก้เย็น โกโก้ปั่นได้อีกด้วย

>> “เจ็บคอ” ควรกินอะไรบ้าง?

อย่างไรก็ตาม การงดของมันของทอดยังเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับคนที่มีอาการเจ็บคอ เพราะอาหารมันอาหารทอดอาจทำให้อาการบวมอักเสบแย่ลง และอย่าลืมรับประทานยาตามที่หมอสั่งให้ครบ โดยเฉพาะยาฆ่าเชื้อ (สำหรับคนที่เจ็บคอจากเชื้อแบคทีเรีย) ต้องรับประทานยาให้ตรงตามเวลา และรับประทานยาให้หมดแม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้ว เพื่อลดความเสี่ยงที่จะดื้อยานั่นเอง

สลายพุงด้วย 3 วิธีง่ายๆ

บทความสุขภาพ
หน้าท้องยื่น ๆ คงไม่มีคุณสาว ๆ คนไหนปรารถนาสักเท่าไหร่

คลายเครียด…ลดคอร์ติซอล

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเครียด คุณกำลังเพิ่มขนาดห่วงยางส่วนตัวให้ขยายใหญ่ขึ้น เพราะฮอร์โมน “คอร์ติซอล” ที่ร่างกายหลั่งออกมา จะกระตุ้นให้คุณหิวและอยากอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาลที่ให้พลังงานสูง ๆ นอกจากนี้ งานวิจัยหลายชิ้นก็คอนเฟิร์มแล้วว่า ระดับคอร์ติซอลที่พุ่งสูงขึ้นมีความสัมพันธ์กับปริมาณไขมันรอบเอวที่จะสูงขึ้นตามไปด้วย

How to :

นอนแต่หัวค่ำ แค่นอนให้ครบ 8 ชั่วโมง คอร์ติซอลในกระแสเลือดก็จะน้อยกว่าคนที่นอนน้อยกว่าถึง 50% แต่ถ้าหาเวลาหลับยาว ๆ ได้ไม่พอจริง ๆ การงีบในช่วงกลางวันก็พอจะช่วยลดคอร์ติซอลได้

ทำสปาชิล ๆ นอกจากจะผ่อนคลายความปวดเมื่อยแล้ว งานวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยไมอามี ยังชี้ว่า การนวดบำบัดเพียงไม่กี่สัปดาห์สามารถลดระดับคอร์ติซอลได้ถึง 1 ใน 3

เคี้ยวหมากฝรั่ง หากไม่มีเวลาให้พักก็หยิบหมากฝรั่งขึ้นมาเคี้ยวสิ ! การเคี้ยวหมากฝรั่งจะช่วยให้ระดับคอร์ติซอลลดลงถึง 12% และยังเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า และช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดได้อีกด้วย

กินผักผลไม้เพิ่มไฟเบอร์

สิ่งสำคัญที่สุดในการกำจัดไขมันส่วนเกินรอบเอว ไม่ใช่การอดอาหาร แต่ต้องใส่ใจกับสิ่งที่กินต่างหาก นอกจากจะต้องเลี่ยงของมัน ๆ หวาน ๆ เหมือนกับเวลาลดน้ำหนัก แล้ว คุณปาล์ม-ขัตติยา ประชาเดชะ นักโภชนาการจากศูนย์สุขภาพและความงามอะเมทิส ยังแนะนำให้คุณกินไฟเบอร์ให้มาเป็นพิเศษ

“คนที่อ้วนลงพุงส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะระบบขับถ่ายไม่ค่อยดี ต้องกินผลไม้เปรี้ยว ๆ อย่างส้ม แอปเปิลเขียว และก็ผักทุกอย่างกินได้ไม่จำกัด ไฟเบอร์ในอาหารกลุ่มนี้จะช่วยในการดูดซับไขมันและกระตุ้นให้ระบบขับถ่ายของคุณดีขึ้น รวมทั้งอาจจะเพิ่มการกินโยเกิร์ตรสธรรมชาติสูตรไขมันต่ำผสมธัญพืช เอาไว้กินตอนเช้าสักวันละถ้วย เพื่อช่วยปรับสมดุลในลำไส้ก็ได้”

How to : มื้อเช้า โจ๊กหมูใส่ไข่ หรือโยเกิร์ตใส่ธัญพืชและแอปเปิล 1 ผล มื้อกลางวัน สุกี้หรือก๋วยเตี๋ยวเส้นหมี่ และผลไม้น้ำตาลต่ำ 1 ผล มื้อเย็น สเต็กปลา หรือสลัดผัก (ถ้ากินดึกก็ควรกินแค่สลัดก็พอค่ะ)

พิลาทีส…สลายพุง

อยากให้หน้าท้องกระชับยังไงก็ต้องออกกำลังกาย ริญญ์ลภัส นิยม เทรนเนอร์จาก WE Fitness Society แนะนำว่าต้องใช้การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายบริหารหน้าท้องโดยเฉพาะ ซึ่งพิลาทีสเองก็เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะจะเน้นบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง (Core Muscle) ให้แข็งแรง จะทำพิลาทีสต่อเนื่องให้เป็นคาร์ดิโอก็ได้นะ

How to :

Roll Up นอนหงายยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ หายใจเข้าพร้อมเกร็งกล้ามเนื้อต้นขาด้านในและหน้าท้องให้แน่น ยกศีรษะและลำตัวส่วนบนขึ้นแล้วหายใจออก พร้อมยกช่วงอกขึ้นช้า ๆ จนหัวไหล่อยู่ตรงกับสะโพก จินตนาการเหมือนกำลังโอบบอลลูกใหญ่ไว้ จากนั้นเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องแล้วค่อย ๆ นอนลงช้า ๆ ทำซ้ำ 10 ครั้ง

Teaser นอนหงายแล้วยกขาทั้งสองข้างขึ้น เหยียดแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ หายใจออกพร้อมเกร็งหน้าท้อง เพื่อยกเเละเหยียดเเขนพร้อมม้วนแผ่นหลังขึ้นจนขึ้นมานั่งเป็นรูปตัววีแล้วหายใจเข้า ค่อย ๆ ลงไปนอนในท่าเริ่มต้น ทำซ้ำ 6 ครั้ง

Note :

การหายใจที่ถูกต้องควรหายใจเข้าทางจมูกให้ซี่โครงขยายออกด้านข้าง และหายใจออกทางปากพร้อมดึงสะดือไปหากระดูกสันหลัง

หากหาเวลาไปออกกำลังกายไม่ได้ การแขม่วพุงเอาไว้ตลอดเวลาก็ช่วยบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องได้เหมือนกัน

ฝนตกบ่อย มีโรคติดต่ออะไรที่ต้องระวังบ้าง

ขึ้นชื่อว่าเป็นหน้าฝน นอกจากจะต้องรับมือกับฝนที่ตกลงมาแบบไม่บันยะบันยังแล้ว หลายคนก็จำเป็นต้องรับมือกับโรคติดต่อต่างๆ ที่มาในช่วงหน้าฝนด้วย เพราะด้วยสภาพอากาศที่มีความชื้นสูง ทำให้เชื้อโรคต่างๆ เจริญเติบโตได้ดี และแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นวันนี้เราจะมาดูกันว่า มีโรคติดต่อยอดฮิตโรคใดในหน้าฝนบ้างที่คุณต้องรับมือ และมีวิธีดูแลร่างกายอย่างไรให้ห่างไกลจากโรคดังกล่าว

1.โรคไข้หวัดใหญ่
โรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่หลายคนมักจะเป็นกันได้ง่าย โดยเกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่แพร่กระจายในอากาศ โดยอาการที่พบเบื้องต้นก็คือ มีไข้สูง ไอ จาม ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร ดังนั้นหากมีอาการดังกล่าวแล้วควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาและดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด ไม่เดินตากฝน ใช้หน้ากากอนามัยปิดปาก และรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด

2.โรคไข้เลือดออก
เป็นโรคที่มียุงลายเป็นพาหะ อาการที่พบได้คือ มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามลำตัว แขน ขา ปวดกระดูก หรือมีจุดเลือดออกตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย วิธีป้องกันที่เหมาะสมคือ ควรหลีกเลี่ยงอยู่ในบริเวณที่มียุงชุกชุม อย่าปล่อยให้ยุงกัด และควรกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงภายในบริเวณที่อยู่อาศัย

3.โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
แม้จะฟังชื่อโรคแล้วดูน่ากลัว แต่ก็ถือเป็นโรคติดต่อในช่วงหน้าฝนที่สามารถรักษาให้หายได้ โดยโรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัส เมื่อร่างกายได้รับเชื้อก็จะมีอาการไข้สูง ชักเกร็ง แขนขาอ่อนแรง โดยส่วนมากแล้วจะเกิดกับเด็กเล็กที่ไม่สามารถบอกอาการได้ ดังนั้นพ่อแม่จึงควรสังเกตลูกของตนเองอย่างใกล้ชิด วิธีป้องกันก็คือหลีกเลี่ยงการพาเด็กไปอยู่ในสถานที่ที่มีความแออัด และควรใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

4.โรคมือ เท้า ปาก
ถือเป็นโรคติดต่อยอดฮิตในเด็กอายุต่กว่า 5 ขวบ ซึ่งเป็นโรคที่มีอัตราการแพร่กระจายสู่ร่างกายได้ง่ายมาก ทั้งทางอากาศ ทางน้ำลาย หรือแม้กระทั่งการอาหารที่มีเชื้อโรคปนเปื้อน อาการที่พบได้คือ มีไข้สูง บริเวณฝ่ามือ ปาก เหงือก ลิ้นมีตุ่มน้ำใสขึ้นและมีอาการเจ็บปวดร่วมด้วย ส่วนใหญ่แล้วมักจะหายเป็นปกติภายใน 5-7 วัน แต่หากปล่อยไว้ไม่รักษาอย่างเหมาะสม ก็เสี่ยงที่จะมีโรคแทรกซ้อนตามมาได้ เช่น โรคสมองอักเสบ หัวใจอักเสบ กล้ามเนื้ออักเสบ

โรคเหล่านี้ถือเป็นโรคติดต่อยอดฮิตที่มักจะพบได้บ่อยในช่วงหน้าฝน ดังนั้นเพื่อให้ร่างกายของตัวคุณและคนที่คุณรักห่างไกลจากอาการเจ็บป่วยจากโรคดังกล่าว ควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการเดินตากฝน หรือการอยู่ในที่ที่มีผู้คนชุกชุม รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ เสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และออกกำลังกายเป็นประจำ

โรคใหม่ๆ เกิดขึ้นได้ทุกวัน “นิ่วน้ำลาย” โรคที่ควรรู้

ดื่มน้ำมากๆ รักษาความสะอาดช่องปาก ป้องกัน “นิ่วน้ำลาย”

“น้ำลาย” เป็นของเหลวใสในช่องปาก พบได้ทั้งในคนและในสัตว์ ซึ่งในคนมีการสร้างและหลั่งน้ำลายวันละประมาณ 1-1.5 ลิตร ส่วนใหญ่ได้จากต่อมน้ำลายหลัก 3 คู่ คือ ต่อมน้ำลายใต้หู ต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกร และต่อมน้ำลายใต้ลิ้น ส่วนน้อยมาจากต่อมเล็ก ๆ ที่กระจายอยู่ในเยื่อบุช่องปากและคอหอย

น้ำลายมีหน้าที่หลัก 2 ประการ คือ ย่อยอาหารและปกป้องอันตรายที่อาจเกิดภายในปาก ในน้ำลายมีเอนไซม์แอลฟาอะไมเลส ช่วยย่อยอาหารคาร์โบไฮเดรต มีไบคาร์บอเนตอิออน (HCO3-) ทำหน้าที่สะเทินสภาพกรดจากอาหารและแบคทีเรีย จึงช่วยป้องกันฟันผุ

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดนิ่วน้ำลาย ได้แก่ ภาวะขาดน้ำ การใช้ยาบางชนิด (ในกลุ่มยาต้านฮีสตามีน ยาลดความดันโลหิต ยาทางจิตเวช และยาควมคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ) ตลอดจนการกระทบกระแทกหรือการบาดเจ็บของต่อมน้ำลายก็มีผลเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วน้ำลายด้วย

เมื่อมีนิ่วในต่อมน้ำลายหรือท่อน้ำลาย หรือทั้งคู่ จะเกิดท่อน้ำลายอุดตัน ทำให้น้ำลายไหลเปิดสู่ช่องปากไม่ได้ซึ่งพบนิ่วของต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกรมากที่สุดในจำนวนต่อมน้ำลายหลักทั้งสามคู่นี้ ผู้ป่วยมักจะมาปรึกษาแพทย์ด้วยอาการของท่อน้ำลายอุดตัน คือมีอาการบวมใต้คาง เป็นๆ หายๆ โดยเฉพาะเวลาที่จะกินอาหาร เนื่องจากน้ำลายที่ถูกสร้างไม่สามารถไหลออกมาได้ อาจมีอาการปวดร่วมด้วยเมื่อมีการคั่งของน้ำลายมากๆ รวมทั้งอาจมีภาวะแทรกซ้อนเมื่อมีการติดเชื้อ ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบผนังท่อน้ำลาย และกลายเป็นฝีได

นิ่วในทางเดินน้ำลาย สามารถป้องกันไม่ให้เกิดได้ โดยการดื่มน้ำมากๆ รักษาความสะอาดในช่องปากและฟัน กรณีมีปัญหา ควรรีบปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านหู คอ จมูก อย่าปล่อยไว้